การเคลื่อนย้ายเส้นเอ็น - สูตรลับสุขภาพดี

หลักวิชาที่ว่านี้มีชื่อว่า “เคล็ดวิชาเคลื่อนขยายเส้นเอ็น” ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาโบราณคล้าย ๆ กับหลักวิชาเคลื่อนย้ายเส้นเอ็นของปรมาจารย์ตั๊กม้อแห่งเส้าหลิน แต่ต่างกันตรงที่มุ่งบำบัดรักษาโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด ประสาท และเส้นเอ็น และเนื้อแท้ก็คือการออกกำลังชนิดหนึ่ง แต่ไม่เหมือนกับการออกกำลังกายทั่วไป เพราะเป็นการออกกำลังจากภายใน ทำนองที่หนังสือกำลังภายในเรียกว่าเดินพลังปราณนั่นเอง
เรารู้จักกันแต่การออกกำลังกายซึ่งเป็นเรื่องของภายนอก ไม่ว่าการวิ่ง การจ็อกกิ้ง การเล่นฟิตเนส การว่ายน้ำ หรืออะไรในทำนองเดียวกันนี้ ล้วนแต่เป็นการออกกำลังกายภายนอกทั้งนั้น
ในส่วนภายในคือหัวใจ ตับ ไต ปอด ม้าม เส้นเลือดต่าง ๆ และเส้นประสาทต่าง ๆ ไม่ได้ออกกำลังกายตามไปด้วย หรือถ้ามีการขยับขับเคลื่อนบ้างก็เป็นผลต่อเนื่องและบางครั้งก็ได้รับอันตรายด้วยซ้ำไป
การออกกำลังจากภายในนั้นเป็นหลักวิชาที่มีมานับพัน ๆ ปี แต่น่าเสียดายที่ไม่แพร่หลายเข้ามายังบ้านเมืองของเรา เพราะถูกอิทธิพลหลักวิชาทางตะวันตกปิดกั้นครอบคลุมเอาไว้จนหมดสิ้น อย่างมากจึงได้แค่อ่านจากหนังสือกำลังภายในแล้วก็ไม่รู้ไม่เข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร หรือไม่ก็อาจคิดว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเพ้อฝันเท่านั้น
ความจริงมันมีอยู่จริง แต่เป็นสิ่งที่เรายังไม่รู้แล้วก็รีบชิงปฏิเสธเสีย แล้วถือว่าสิ่งที่ยังไม่รู้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มี ทั้งๆ ที่สิ่งที่ไม่รู้นั้นมีมากกว่าสิ่งที่รู้สุดจะประมาณนัก
การป่วยไข้เพราะเหตุเส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบหรือตัน หรือแขน ขาอ่อนกำลัง หรือที่เรียกว่าเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตนั้นเป็นความป่วยไข้ที่มีเถือกเถาเหล่ากอเดียวกัน คือเกิดจากเส้นเลือดหรือหลอดเลือดหรือท่อเลือดโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสมองหรือส่วนที่เชื่อมใกล้ชิดกับสมองและยังเชื่อมโยงกับเส้นประสาทต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อจากสมองไปยังมือไม้ แขนขา
ชีวิตเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ความแก่ก็ติดตามมาควบคู่กัน ยิ่งกินอาหาร ประพฤติปฏิบัติตนในทางที่ทำให้อายุขัยสั้นลง ไม่ว่าการกินของมันมาก ๆ การพักผ่อนน้อย ๆ การดื่มของเมามาก ๆ หรือยึดมั่นถือมั่นในสิ่งไร ๆ มาก ๆ ไม่รู้จักปล่อยปละละวาง ก็จะทำให้เส้นเลือดและเส้นประสาททั้งหลายเปราะบาง ตีบแคบ หรือมีการอุดตันขึ้น
ไม่ต้องดูอะไรมาก ให้ดูจากท่อน้ำทิ้งหรือท่อน้ำประปาที่ใช้กันอยู่ทุกบ้านเรือนก็ได้ พอใช้ไป 2 ปี 3 ปี ก็มีความเกรอะกรัง ทำให้ท่อตีบตันและแตก ฉันใด เส้นเลือดและเส้นประสาทในร่างกายนี้ก็เป็นฉันนั้นไม่ต่างกันเลย
ท่อประปานั้นมันชำระสะสางความตีบความตันและความเกรอะกรังด้วยตนเองไม่ได้ ต้องอาศัยคนไปชำระชะล้าง ไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม หรือเมื่อชำรุดหนักก็เปลี่ยนใหม่ไปเสียเลย
นั่นขนาดเป็นวัตถุที่คงทนก็ใช้ได้ไม่กี่ปี แต่ร่างกายของมนุษย์เรานี้วิเศษนัก เส้นเลือด เส้นประสาทที่เป็นแค่เนื้อเยื่อ ยืดหยุ่น บอบบาง แต่อยู่กับร่างกายนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย อาจจะอยู่ได้นานที่สุดถึงกัปหรือ 120 ปีด้วยซ้ำไป จึงนับว่าเป็นส่วนอวัยวะที่แข็งแรงทนทานอย่างยิ่งจนน่าพิศวง
ความจริงทั้งเส้นเลือด เส้นประสาทก็มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความตายสลายไปเป็นธรรมดาเหมือนกัน เป็นแต่ว่าเราแทบไม่รู้เพราะมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก เซลล์ต่างๆ ย่อมแก่ตัว ย่อมตายไปและหลุดออกไป แล้วมีเซลล์ใหม่เกิดขึ้นแทนที่เป็นลำดับ ๆ ไป จนกระทั่งเมื่ออายุขัยล่วงไปมาก ๆ เข้าเซลล์ใหม่ก็เกิดน้อยลง แข็งแรงน้อยลง แล้วทำให้อ่อนแอลงโดยลำดับ กระทั่งตาย
นอกจากนั้น คนเรายังมีวิธีการเอาสิ่งเกรอะกรังหรือทำให้ความตีบตันบรรเทาลงหรือหายไปได้ ไม่ว่าด้วยการใช้ยาหรือด้วยการประพฤติปฏิบัติตนบางประการ ในที่นี้ไม่พูดถึงการใช้ยา แต่พูดถึงการประพฤติปฏิบัติตน
เป็นการประพฤติปฏิบัติตนที่มีหลักวิชาสืบเนื่องมานับพันปีแล้ว เป็นส่วนหนึ่งของหลักวิชาเคลื่อนย้ายเส้นเอ็น แต่ไม่ใช่วิชาเคลื่อนย้ายเส้นเอ็นโดยตรง เป็นวิชาที่นักบวชในศาสนาพุทธนิกายมหายานใช้กันโดยทั่วไป
บางทีก็เรียกว่าเป็นการเดินกำลังภายในหรือเป็นการเดินพลังปราณอย่างหนึ่ง แต่จะเรียกว่าอย่างไรไม่สำคัญ ความสำคัญอยู่ที่ปฏิบัติให้บังเกิดผลต่างหาก
บางทีก็เรียกว่าเป็นการเดินกำลังภายในหรือเป็นการเดินพลังปราณอย่างหนึ่ง แต่จะเรียกว่าอย่างไรไม่สำคัญ ความสำคัญอยู่ที่ปฏิบัติให้บังเกิดผลต่างหาก
ดังนั้นหลักวิชาที่ว่านี้คือการประพฤติปฏิบัติตนด้วยตนเอง ทำแทนกันไม่ได้ ใช้เวลาไม่มาก แต่ขอให้ทำอย่างต่อเนื่อง ก็จะสัมฤทธิผลเป็นแน่นอน
เริ่มต้นกันที่เวลาประพฤติปฏิบัติตนตามหลักวิชานี้ก่อน ให้เริ่มทำครั้งแรกตอนตื่นนอน คือไม่ว่าจะตื่นนอนเวลาไหนก็ประพฤติปฏิบัติไป ใช้เวลาสัก 10 นาที หรือ 15 นาที หรืออย่างน้อยแค่ 5 นาทีก็ได้ สุดแท้แต่ความจำเป็นหรือความสามารถจะปฏิบัติได้
การประพฤติปฏิบัติเมื่อตื่นนอนนั้น ขณะนี้สอดคล้องกับหลักวิชาทางตะวันตกแล้ว เพราะผลการวิจัยทางการแพทย์แผนตะวันตกนั้นพบว่าคนเราตายในเวลากลางคืนถึง 70% ตายในเวลากลางวันแค่ 30%
ปมเงื่อนของมันคือ ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายในเวลากลางคืนซึ่งเป็นเวลานอนนั้นมีมากกว่าเวลากลางวัน เพราะเมื่อคนเรานอนหลับ น้ำตาลในเลือดจะลดต่ำ การทำงานของสมองก็ลดลงเหลือเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น คือเหลือเฉพาะส่วนที่เรียกว่าระบบควบคุมสำรองหรือระบบ stand by ของอวัยวะบางส่วนเท่านั้น ในขณะที่อวัยวะสำคัญ ๆ อื่นก็จะพักหรือแทบจะหยุดทำงาน
ครั้นตื่นขึ้นร่างกายปรับสู่ภาวะปกติ หากลุกขึ้นทันทีก็อาจรองรับกับความเปลี่ยนแปลงไม่ทัน และเป็นเหตุให้หลายคนเส้นเลือดในสมองแตกหรือล้มลงหลังจากผุดลุกในทันทีทันใดที่ตื่น
ดังนั้นการเริ่มต้นการฝึกปฏิบัติในทันทีที่ตื่นนอน โดยทำบนที่นอนนั้นจึงเท่ากับเป็นการป้องกันไม่ให้เส้นเลือดแตกหลังตื่นนอนได้อย่างมีผลยิ่ง และทำให้ร่างกายปรับสภาพจากสภาพที่เป็นอยู่ในขณะหลับสู่ภาวะตื่นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ยิ่งเป็นคนมีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปแล้ว การปรับสภาพอย่างค่อยเป็นค่อยไปนี้คือการป้องกันอันตรายจากการตายแบบฉับพลันทันทีได้อีกด้วย
ดังนั้นจึงพึงตั้งใจเอาไว้ว่าทันทีที่รู้สึกตัวตื่นก็ให้นอนอยู่นิ่ง ๆ ก่อน อย่าเพิ่งผุดลุกผุดนั่งไปไหน เตรียมกาย เตรียมใจที่จะฝึกวิชาที่ว่านี้
ระยะเวลาที่ฝึกฝนปฏิบัติ ถ้าจะให้ได้ผลดีก็อยู่ระหว่าง 15-20 นาที แต่ถ้าจำเป็นหรือมีภารกิจเร่งด่วนก็ควรทำอย่างน้อยสัก 5 นาที ด้วยเวลาเพียงเท่านี้ก็จะเห็นผลชัดว่าเมื่อลุกขึ้นก็จะลุกขึ้นอย่างสะดวกสบาย แคล่วคล่อง ว่องไวและมีความรู้สึกว่าตัวเบาขึ้น นั่นเพราะร่างกายมีความพร้อม และได้ปรับสภาพจากภาวะหลับสู่ภาวะตื่นอย่างเต็มที่แล้ว
อยากจะรับรองว่าถ้าทำได้ทุกวัน ๆ ละ 20 นาทีก็จะมีชีวิตยืนยาวอย่างน้อย 80 ปี โดยไม่มีวันที่เส้นเลือดในสมองจะแตกหรือตีบหรือตัน ไม่มีวันที่จะเป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาตเป็นอันขาด หรือถ้าใครเป็นและถ้าฝืนใจกล้ำกลืนปฏิบัติตนให้ได้ ไม่ช้าไม่นานเกิน 6 เดือนดอกก็จะได้สัมผัสกับชีวิตใหม่ที่มีความเป็นปกติสุขมากขึ้น
การปฏิบัติตามหลักวิชานี้ใช้เพียงแค่ฝ่ามือทั้งสองและฝ่าเท้าทั้งสองเท่านั้น โดยเวลาเริ่มต้นการฝึกปฏิบัติ ให้นอนหงาย เหยียดเท้าทั้งสองตรง และทอดมือทั้งสองไว้ข้างลำตัวในลักษณะตรง หงายมือทั้งสองขึ้น
เมื่อนอนนิ่งในลักษณะที่ยืดแขน ขาให้ตรง พร้อมกับหงายฝ่ามือทั้งสองดังกล่าวแล้ว ก็ให้ลองเกร็งแขนทั้งสองก่อนแล้วค่อย ๆ เคลื่อนไปถึงฝ่ามือทั้งสอง เพิ่มความเกร็งขึ้นเหมือนกับการถือลูกน้ำหนักไว้ในมือ เคลื่อนการเกร็งไปมาสัก 2-3 ครั้ง
ถัดจากนั้นก็ลองเกร็งขาในลักษณะเดียวกัน คือเกร็งจากโคนขาไปก่อนถึงหัวเข่า ถึงหน้าแข้ง ถึงตาตุ่ม และเท้าทั้งสอง เคลื่อนการเกร็งจนสุดปลายนิ้วเท้าแล้วเคลื่อนกลับทวนขึ้นมา
ย้อนลงไป เคลื่อนขึ้นมา ย้อนลงไป เคลื่อนขึ้นมา แล้วย้อนลงไป เพียงเท่านี้ก็เท่ากับได้ลองกำลังหรือพลังจากภายในกายนี้แล้ว อาจจะรู้สึกเหนื่อยบ้างก็เป็นธรรมดา ซึ่งต้องตระหนักรู้ว่าการเคลื่อนพลังภายในนั้นแม้ใช้เวลาอันน้อยอันสั้น แต่ความเหนื่อยจะเหมือนกับการออกกำลังกายภายนอกมาก ๆ นั่นเอง
เมื่อพูดถึงเวลาเริ่มต้นการปฏิบัติ ระยะเวลาที่ใช้และการเตรียมดังกล่าวแล้วก็มาถึงกระบวนท่าที่จะฝึกหรือปฏิบัติ ซึ่งมีอยู่ 3 กระบวนท่าง่ายๆ ไม่ยากไม่ลำบากเลย
กระบวนท่าแรก มีชื่อเรียกว่า “อินทรีขยุ้มเหยื่อ”
กระบวนท่าที่สอง มีชื่อเรียกว่า “เสือบี้เห็บ”
กระบวนท่าที่สาม มีชื่อเรียกว่า “กรายเล็บกรีดพิณ”.
Comments
Post a Comment