การเคลื่อนย้ายเส้นเอ็น3 - สูตรลับสุขภาพดี

ในกระบวนท่าที่สองนี้ ปมสำคัญอยู่ที่การเกร็งพลังที่หนักหน่วงเข้มข้นขึ้นกว่ากระบวนท่าแรก ในทำนองเดียวกับเสือที่ใช้อุ้งเล็บบดขยี้หมัด เหา หรือเห็บที่ซุกซ่อนอาศัยอยู่ในซอกเท้า ซึ่งต้องใช้กำลังมาก ต้องเกร็งมาก เพื่อบดขยี้ตัวหมัด เหา หรือเห็บตัวเล็ก ๆ ซึ่งเกาะดูดเลือดอยู่ในซอกเท้านั้น
หากกำลังและความหนักหน่วงไม่มากพอ ก็จะไม่สามารถบี้หรือบดขยี้หมัด เหา หรือเห็บให้ตายได้ ฉันใดก็ฉันนั้น เพราะเหตุนี้กระบวนท่านี้จึงต้องใช้การเกร็งกำลังหรือการเคลื่อนกำลังมากขึ้นหรือเพิ่มขึ้นกว่ากระบวนท่าแรกอย่างน้อยก็หนึ่งเท่าตัว
อย่างไรแค่ไหนจึงจะเรียกว่าเพิ่มกำลังขึ้นกว่าหนึ่งเท่าตัว ก็ให้สังเกตประมาณเอาด้วยตนเองก็จะรู้ได้ไม่ยากไม่ลำบากเลย และเมื่อใช้การเกร็งหรือเดินพลังมากขึ้นเช่นนี้ ก็จะมีเสียงดังปรากฏมากขึ้นกว่ากระบวนท่าแรกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่พึงตกใจหรือประหลาดใจเช่นเดียวกัน แต่ต้องตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเสียงที่ดังนั้นในประการที่ได้พรรณนามาแล้วในกระบวนท่าแรก
ด้วยความเข้าใจว่าเมื่อใช้พลังหรือเกร็งพลังมากขึ้น ซุ่มเสียงที่ไม่เคยปรากฏก็อาจปรากฏขึ้น ที่เคยปรากฏและเบาบางลงไปแล้วก็จะกลับดังขึ้นมาใหม่อีก นั่นเป็นเพราะพลังที่เพิ่มขึ้น ค่อย ๆ ฝึก ค่อย ๆ ปฏิบัติ ค่อย ๆ ทำไปโดยลำดับ ๆ เมื่อกายนี้มีความเป็นปกติตามที่พึงเป็นแล้ว เสียงทั้งหลายก็จะเป็นอันบรรเทาเบาบางหรือหมดไป
และนั่นย่อมหมายความว่าการตีบตันหรือความเกรอะกรังทั้งหลายได้ถูกขจัดอย่างแรงให้บรรเทาเบาบางและหายไปด้วยเช่นเดียวกัน เมื่อเข้าใจปมเงื่อนและกำหนดการเคลื่อนพลังหรือเพิ่มกำลังมากขึ้นเช่นนี้แล้วก็มาทำความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนท่าที่สองนี้
เป็นกระบวนท่าที่มีกิริยาอาการต่อเนื่องจากกระบวนท่าแรก คือยกมือตั้งฉากโดยข้อศอกติดพื้นชิดกับลำตัวเช่นเดียวกับกระบวนท่าแรก กางนิ้วทั้งห้าออก แล้วงอนิ้วทั้งห้าไว้ที่ระดับข้อนิ้ว ยกเว้นนิ้วหัวแม่มือ ปลายนิ้วหัวแม่มือจะมีลักษณะที่ตั้งฉากกับนิ้วชี้เสมอ โดยนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อยนั้นจะงอในลักษณะตะขอหรือเบ็ด
เมื่องอข้อนิ้วเช่นนี้อาจจะมีความรู้สึกปวดหรือเจ็บหรือตึงหรือติดขัดบ้าง แต่จะน้อยกว่าหรือเท่า ๆ กับท่าขยุ้มเหยื่อในกระบวนท่าแรก แต่ที่ยังเจ็บหรือปวดหรือตึงอยู่ก็เพราะเมื่อมีการเดินพลังหรือเพิ่มกำลังมากขึ้น ลักษณะการเกร็งก็จะเพิ่มขึ้น ความเจ็บปวดหรือขัดก็จะมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ถือเสียว่าเป็นการดัดตัวดัดตนอย่างหนึ่งก็ได้ และเมื่อดัดตนในลักษณะนี้บ่อยครั้งเข้า ที่ติด ที่ขัด ที่เจ็บ ที่ปวดก็จะค่อย ๆ สร่างคลายหายไป แล้วจะงอได้อย่างง่ายดายและสบายๆ
เมื่อใดที่นิ้วงอได้ตามรูปแบบกระบวนท่านี้ก็พึงรู้เถิดว่านิ้วซึ่งเป็นส่วนปลายอวัยวะของมือ ซึ่งประสาทส่วนปลายนิ้วก็เป็นส่วนปลายประสาทด้วย ได้มีความกระชุ่มกระชวย แข็งแรง และมีความเป็นปกติ มีความอ่อน มีความเหนียวหยุ่น คล่องตัว เช่นเดียวกับมือไม้ของเด็ก ๆ หรือผู้ที่ได้รับการฝึกบัลเล่ต์
แค่นี้ก็เห็นได้แล้วว่าความหนุ่มสาวได้บังเกิดขึ้นหรือกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง นี่ก็เป็นอานิสงส์หรือเป็นผลอย่างกระจุ๋มกระจิ๋มของการฝึกหรือการปฏิบัติตนเช่นนี้ ก็แลเมื่อปลายนิ้วหรือปลายประสาทส่วนมือซึ่งเมื่อถึงวัยหนึ่งเวลาหนึ่งย่อมเชื่องช้าติดขัดเพราะความชราหรือเพราะวัยหรือเพราะโรคภัยใด ๆ ได้ฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติอย่างหนุ่มสาวอีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นเรื่องพึงอัศจรรย์อะไรเช่นนั้น
เมื่องอนิ้วดังกล่าวแล้ว ก็เกร็งพลัง เดินพลัง และเพิ่มพลังให้มากขึ้น จากนั้นก็ขยับหัวแม่มือไปทางด้านนิ้วก้อย แล้วโน้มนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อยลงมายังฝ่ามือด้านล่าง ไล่เรียงกันไปโดยลำดับ ให้โคนนิ้วทุกนิ้วเบียดชิดแน่นในลักษณะบดบี้เข้าหากันให้มากที่สุด
การเคลื่อนนิ้วไล่เรียงเป็นลำดับดังนี้ก็เพื่อฝึกสมองส่วนบัญชาการให้บัญชาการเส้นประสาทและหลอดเลือดที่บังคับนิ้วแต่ละนิ้วให้เคลื่อนไหวเป็นรายนิ้วไป ทำให้เกิดการจำแนกแยกแยะและแม่นยำในการบังคับบัญชาประสาทเส้นเลือดแต่ละนิ้วได้ดังใจ
เพราะเมื่อคนเรามีอายุถึงวัยหนึ่ง ระบบบังคับบัญชาของสมองและการสั่งการประสาทตลอดจนหลอดเลือดต่าง ๆ จะมีความสับสนเกิดขึ้น เช่น แทนที่จะกระดิกนิ้วเดียว นิ้วก็กระดิกถึงสองนิ้ว หรือสามนิ้วเป็นต้น นี่คือความสับสนของระบบบัญชาการของสมองประสาท หลอดเลือด และอวัยวะที่สัมพันธ์กันอยู่
การฝึกหรือปฏิบัติตอนเริ่มต้นจะกดโน้มนิ้วหัวแม่มือก่อน แล้วไล่เรียงนิ้วชี้ นิ้วนาง นิ้วกลาง และนิ้วก้อยลงมาข้างล่างในลักษณะประชิดบดขยี้กันโดยลำดับ ครั้นมีความชำนาญแล้วก็ปฏิบัติในทางปฏิโลมต่อไป
การฝึกหรือปฏิบัติในทางปฏิโลมก็คือการโน้มนิ้วก้อยลงมาฝ่ามือข้างล่างก่อน ตามมาด้วยนิ้วนาง นิ้วกลาง นิ้วชี้ และหัวแม่มือตามลำดับในลักษณะเช่นเดียวกัน
ให้สังเกตดูให้ดีว่าการเดินพลังหรือการเพิ่มกำลังนั้นเพียงพอหรือไม่ และนิ้วแต่ละนิ้วประชิดติดกันในลักษณะบดขยี้บี้กันหรือไม่ พึงเข้าใจว่ากำลังต้องเพียงพอ นิ้วแต่ละนิ้วต้องประชิดติดกันในลักษณะบดขยี้ที่สามารถบี้หรือขยี้เหา เห็บ หรือหมัดให้ตายได้อย่างไรก็ต้องอย่างนั้น
ปฏิบัติไปเช่นนี้อย่างน้อย 5-15 นาที คราวนี้จะรู้สึกว่าเหนื่อยกว่ากระบวนท่าแรก เหตุผลอยู่ที่การเพิ่มการเกร็งพลังหรือการเดินพลังที่มากกว่ากระบวนท่าแรกถึงหนึ่งเท่าตัวนั่นเอง
แต่เมื่อฝึกหรือปฏิบัตินานไป ๆ ชำนาญเข้า ๆ ก็จะเหนื่อยน้อยลง ทำนองเดียวกับคนออกกำลังกายวิ่งหรือจ็อคกิ้ง ที่เมื่อปฏิบัติสม่ำเสมอแล้วก็จะทำให้เหนื่อยช้าลง ทำให้หัวใจเต้นช้าลง ฉันใดก็ฉันนั้น
เมื่อฝึกหรือปฏิบัติจนชำนาญมากขึ้น ๆ นิ้วทุกนิ้วก็จะเคลื่อนไหวในลักษณะที่แม่นยำมีพลังหรือกำลังอย่างหนักหน่วง อย่างคล่องตัวได้ดังใจ เสียงทั้งหลายที่เกิดขึ้นก็จะค่อยๆ หายไป
การผนึกกาย ปราณ และจิตให้เป็นเอกภาพ ทำนองเดียวกันกับกระบวนท่าแรกก็คือการปฏิบัติในขั้นสูงของกระบวนท่าที่สองนี้เช่นเดียวกัน จากนั้นก็เป็นกระบวนท่าที่สามที่มีชื่อว่า “กรายเล็บกรีดพิณ” ซึ่งมีรากฐานมาจากการใช้ความอ่อนโยนของสตรี ใช้ความนุ่มนวลของนิ้วมือที่เรียวงามกรีดกรายเพลงพิณเป็นเสียงพิณอันไพเราะเสนาะโสต
กระบวนท่านี้เป็นกระบวนท่าสุดท้ายที่แม้ยังมีการเดินหรือเกร็งพลังอยู่แต่จะลดน้อยลง เพื่อเตรียมตัวปรับสภาพเข้าสู่ความเป็นปกติธรรมดา แต่ปมเงื่อนอยู่ที่ความอ่อนช้อยนุ่มนวลและความเบาสบายเป็นสำคัญ
ทว่าในท่ามกลางความนุ่มนวลเบาสบายนั้นก็ยังคงต้องเดินและใชัพลังอย่างน้อยเท่ากับกระบวนท่าแรก ซึ่งเป็นหลักการเช่นเดียวกันกับหลักวิชาไท้เก๊ก แม้ภายนอกดูไร้สภาพ เบาหวิว ปลิวไปดุจปุยนุ่น แต่แท้จริงยังแฝงฝังพลังอันหนักหน่วงปานขุนเขาเอาไว้ด้วย ฉันใดก็ฉันนั้น
ในการเริ่มต้นกระบวนท่าที่สามนี้ยังคงเป็นการยกมือทั้งสองตั้งฉากกับลำตัวบริเวณหน้าอกเหมือนดังเดิม กางนิ้วทั้งห้าออกในลักษณะชี้ตรงขึ้นข้างบน เกร็งและเดินพลังในขนาดหรือระดับเดียวกันกับกระบวนท่าแรก
แต่ต้องรำลึกกำกับไว้เสมอว่าการกรีดกรายนิ้วแต่ละครั้งแต่ละนิ้วต้องมีความนุ่มนวล อ่อนช้อย และเบาสบายเหมือนไร้พลัง จากนั้นก็ให้โน้มนิ้วก้อยลงมาที่โคนฝ่ามือ ตามมาด้วยนิ้วนาง นิ้วกลาง นิ้วชี้ และนิ้วหัวแม่มือ จากนั้นก็เริ่มต้นใหม่เช่นเดิม ปฏิบัติอย่างนี้ต่อเนื่องให้ได้ 5 นาที แล้วปฏิบัติในทางปฏิโลม คือเริ่มที่นิ้วหัวแม่มือโน้มลงมาทางโคนฝ่ามืด ตามมาด้วยนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อย
ถ้าหากพินิจพิจารณาดูก็จะเห็นว่าการกรีดนิ้วแต่ละครั้งก็เหมือนกับสตรีกำลังร่ายรำหรือกำลังกรีดกรายเพลงพิณอยู่ฉะนั้น ดังนั้นความนุ่มนวล อ่อนช้อย สม่ำเสมอ แผ่วเบาหรือเบาสบายดุจปุยนุ่นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น ทำได้ถึงขั้นนั้นก็เรียกว่าเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง ครบถ้วนกระบวนการแห่งกระบวนท่าที่สาม
ขอให้นึกถึงการฝึกมวยไท้เก๊กที่ดูภายนอกเบาหวิว แต่แท้จริงหนักหน่วง จะบรรลุถึงขั้นสูงสุดก็ตรงที่ใช้มือชกไปที่เต้าหู้ ภายนอกเต้าหู้ก็ยังคงสภาพเดิม แต่ภายในแตกเละไปหมด ฉันใดก็ฉันนั้น
เมื่อเข้าใจถึงวิธีฝึกและวิธีปฏิบัติแต่ละกระบวนท่า ตลอดจนปมเงื่อนหรือข้อสังเกตต่างๆ ดังพรรณนามาโดยลำดับแล้ว ก็จะเป็นการฝึกหรือปฏิบัติแต่ละกระบวนท่าต่อเนื่องกันไป
นั่นคืออาจฝึกหรือปฏิบัติได้เป็นสองลักษณะ โดยลักษณะแรก ฝึกหรือปฏิบัติแต่ละกระบวนท่าโดยใช้เวลา 5-10 นาที จากกระบวนท่าแรกไปสู่กระบวนท่าที่สองและกระบวนท่าที่สาม กระบวนท่าละ 5-10 นาที รวมเวลาให้ได้ประมาณ 15-30 นาที ก็จะมีผลมาก นี่อย่างหนึ่ง
หรืออีกอย่างหนึ่งคือฝึกหรือปฏิบัติกระบวนท่าแรกแล้วต่อเนื่องสู่กระบวนท่าที่สองและกระบวนท่าที่สามเป็นลำดับต่อไปเลย เมื่อสิ้นกระบวนท่าที่สามแล้วก็มาเริ่มต้นกระบวนท่าแรกใหม่ไปจนถึงกระบวนท่าที่สามอีก โดยถือเอาเวลารวมกัน 15-30 นาที
การผนึกกาย ปราณ และจิตให้เป็นเอกภาพของทั้งสามกระบวนท่าตลอดห้วงเวลาที่ฝึกหรือปฏิบัติจะมีผลใหญ่หลวงกว่าการฝึกหรือปฏิบัติเฉพาะกาย หรือเฉพาะกายกับปราณ
เพราะนอกจากจะทำให้สุขภาพกายและพลังกายหายใจหรือพลังปราณสมบูรณ์ดีแล้ว ยังทำให้จิตเป็นพลัง เป็นจิตตานุภาพอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งจะเพิ่มผลหรืออานิสงส์ขึ้นอีกมากมายหลายเท่านัก
หลอดเลือด เส้นเลือด เส้นประสาท เส้นเอ็นทั้งหลายจะกลับฟื้นคืนปกติ มีความกระชุ่มกระชวย แม่นยำ คล่องตัว แข็งแรง ฟื้นคืนความหนุ่มสาวอีกครั้งหนึ่ง
ขอท่านทั้งหลายที่ได้ลองฝึกหรือปฏิบัติตามเคล็ดวิชาเคลื่อนขยายเส้นเอ็นนี้จงเป็นผู้ที่เส้นเลือดสมองไม่แตก ไม่ตีบ ไม่ตัน ไม่เหน็บ ไม่ชา ดำรงความหนุ่มสาว ความผ่องใส กระชุ่มกระชวยไว้ตลอดไปจนกว่าจะถึงเวลาพริ้มตาลงแล้วเดินทางไกลด้วยกันเถิด.
ขอขอบคุณแหล่งที่มา
www.paisalvision.com
Comments
Post a Comment